Page 29 - การใช้ข้อมูลสำรวจระยะไกลเพื่อศึกษาความอุดมสมบูรณ์ของดินในพื้นที่เสี่ยง การเป็นดินกรดและดินเค็ม ภาคกลางของประเทศไทย
P. 29
23
0.1 - 5.0 dS/m TDS (mg/l) = EC (dS/m) x 800 ส า หรับ EC ที่มีค่า > 5.0 dS/m Osmotic pressure
(atm) = EC (dS/m) x 0.40 ส า หรับ EC ที่มีค่าระหว่าง 3 - 30 dS/m (อรุณี, มปป.) การวัดความเค็มดินใน
ภาคสนาม ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาแต่เพื่อความสะดวกและรวดเร็วจะวัดโดยตรงจากตัวอย่างดินที่ท าให้อิ่มตัว
ด้วยน ้า (saturated soil paste) โดยค่อยๆ เติมน ้าลงไปในดินและกวนดินให้เข้ากันจนมีลักษณะคล้ายยาสีฟัน
น าไปใส่ในถ้วยที่เรียกว่า Bureau of soils cup ต่อเข้ากับเครื่องวัดค่าการน าไฟฟ้าภาคสนามในการท า
แผนที่ความเค็มดินในแปลงขนาดใหญ่ มีเครื่องมือวัดความเค็มภาคสนามที่ได้พัฒนาขึ้นมาใช้กับ GPS และ
เครื่องบันทึกข้อมูลอัตโนมัติ (data logger) ในการท างาน เช่น fourelectrode resistivity sensors
เป็นเครื่องมือภาคสนามที่ใช้สมการคณิตศาสตร์จากข้อมูลทางเคมีฟิสิกส์ ของค่าการน า ไฟฟ้าของน ้าในดิน
ปริมาตรน ้าในดิน ปริมาตรอนุภาคดิน มาประเมินค่าความเค็มดินโดยวิธี model/field-estimates
techniqueelectromagnetic-induction conductivity (EM) sensors ประเมินค่าความเค็มดินโดย
วิธี regression model/ground-truthing technique ระหว่างค่า ECa ที่เครื่องบันทึกได้จากค่าการ
เหนี่ยวน าแม่เหล็กไฟฟ้าในดินกับค่า ECe ของตัวอย่างดินที่เก็บมาวิเคราะห์ใช้ในที่มีสภาพพื้นที่เหมือนกัน
และดินที่มีความชื้น วิธีการนี้สามารถวัดค่าการน าไฟฟ้าลงไปตามระดับความลึกของดิน ท าได้รวดเร็ว โดย
ไม่ต้องเสียเวลาและงบประมาณในการเก็บและวิเคราะห์ดินจ านวนมาก (อรุณี, มปป.)
3.1.3 ปริมาณอินทรียวัตถุ
อินทรียวัตถุในดิน (Organic matter) หมายถึง อินทรียสารทุกชนิดที่มีอยู่ในดิน ซึ่งได้จากซาก
พืช ซากสัตว์ สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ในดิน สิ่งขับถ่ายของมนุษย์และสัตว์สลายตัวทับถมอยู่ในดิน รวมถึง
อินทรียสารที่รากพืชปลดปล่อยออกมา และที่จุลินทรีย์ดินสังเคราะห์ขึ้นมา อินทรียวัตถุในดินจึงประกอบด้วย
อินทรียสารหลายชนิด คือ พวกสารประกอบอินทรีย์ไนโตรเจน สารประกอบอินทรีย์ ฟอสฟอรัส สารประกอบ
อินทรีย์ก ามะถัน เป็นต้น เมื่ออินทรียวัตถุสลายตัวโดยจุลินทรีย์ถึงขั้นสุดท้ายจะได้ฮิวมัส (Humus) ซึ่งเป็น
สารอินทรีย์ประกอบเชิงซ้อน ฮิวมัสมีความหมายครอบคลุมตั้งแต่ส่วนของซากพืชหรือซากสัตว์ที่ก าลังสลายตัว
เซลล์ของจุลินทรีย์ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่และส่วนของจุลินทรีย์ที่ไม่มีชีวิต ไปจนถึงสารอินทรีย์ที่ได้จากการย่อยสลาย
หรือส่วนที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นมาใหม่ โดยไม่รวมถึงรากพืชหรือเศษซากพืชหรือซากสัตว์ที่ยังไม่ย่อยสลาย ดังนั้น
อินทรียวัตถุในดินจึงประกอบไปด้วยสารอินทรีย์แทบทุกชนิดที่เกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติ อินทรียวัตถุในดินนี้นับได้
ว่าเป็นองค์ประกอบส าคัญของดินที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อสมบัติต่าง ๆ ของดิน ทั้งที่เป็นสมบัติทางเคมี ทาง
ฟิสิกส์ และ ทางชีวภาพ ส่งผลกระทบต่อเนื่องไปถึงระดับความอุดมสมบูรณ์ของดิน ความสามารถในการให้ผล
ผลิตของดิน รวมถึงการพันาระบบนิเวศของสภาพแวดล้อมต่าง ๆ โดยตรง ฮิวมัสประกอบขึ้นจากสารกลุ่มต่าง ๆ
เช่น Methyl, Phenolic, Quinone และ Carboxylic Groups ที่มีอยู่ในดิน ฮิวมัสแบ่งได้เป็นสองส่วน คือ
Humic Acid และ Fulvic Acid ฮิวมัสไม่ใช่สารที่คงทนถาวร แต่อัตราการสลายตัวของฮิวมัสจะช้ากว่าการ
สลายตัวของอินทรียสารที่เป็นต้นก าเนิดของฮิวมัส และมีบทบาทส าคัญ ในการแลกเปลี่ยนประจุบวกสูง ดูดซับน้ า
ได้ดี และมีบทบาทส าคัญต่อการเกาะยึดกันเป็นเม็ดของอนุภาคดิน อินทรียวัตถุในดินมีอิทธิพลต่อสมบัติของดิน
ทั้งทางกายภาพ ทางเคมีและทางชีวภาพ เช่น มีผลต่อการเกิดสีของดิน ช่วยให้ดินทรายมีการจับตัวเป็นก้อน
การอุ้มน้ า การถ่ายเทอากาศ การดูดซับประจุบวก เพราะมีประจุลบจ านวนมาก และมีความสามารถในการดูดซับ