Page 205 - Chumphon
P. 205
5-23
คุ้มครองอุตสาหกรรม นานาชาติที่ใช้ทรัพยากรที่มีชีวิตเป็นวัตถุดิบ (ค) เพื่อเป็นหลักประกันในการใช้
พันธุ์พืชสัตว์และระบบนิเวศเพื่อประโยชน์ในการยังชีพตามความเหมาะสม และ (ง) เพื่อสงวนรักษา
โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปกรรม ซึ่งเป็นมรดกล้ำค่าไว้ไปยังอนุชนรุ่นหลังรวมทั้งระบบสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ
ที่มนุษย์สร้างขึ้น การบำรุงรักษาป่า ควรปฏิบัติ ดังนี้ (กรมป่าไม้, 2560)
(1) ป้องกันและปราบปรามการลักลอบตัดไม้ทำลายป่า
(2) หาแหล่งทำมาหากินให้ชาวเขาอยู่เป็นหลักแหล่ง เพื่อเป็นการ
ป้องกันการทำไร่เลื่อนลอย
(3) ส่งเสริมการปลูกป่าทดแทน
(4) ปิดป่าไม่อนุญาตให้มีการทำไม้
(5) ใช้วัตถุอื่นทดแทนผลิตภัณฑ์ที่ทำจากไม้
(6) ตั้งหน่วยป้องกันไฟป่า
(7) ส่งเสริมให้มีการเผยแพร่ความรู้และความเข้าใจแก่ประชาชน
เพื่อให้เห็นความสำคัญของป่าไม้
2) การเพิ่มกำลังการผลิตป่าไม้ในแง่เศรษฐกิจ
ป่าไม้เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสิ่งมีชีวิต
ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์อื่นๆ เพราะป่าไม้มีประโยชน์ทั้งการเป็นแหล่งวัตถุดิบของปัจจัยสี่ คือ
อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค การเพิ่มกำลังการผลิต (productivity) ของป่าไม้
โดยให้เกษตรกรผลิตพืช หรือสัตว์เศรษฐกิจและต้องอาศัยการบริการของระบบนิเวศ สามารถผลิตใน
รูปเกษตรอินทรีย์ หรือวนเกษตร ที่มีผลตอบแทนคุณค่าทางเศรษฐกิจสูงประกอบด้วยการผลิตพืช เช่น
กาแฟ โกโก้ การผลิตกล้วยไม้สกุลวานิลลา เพาะเห็ด พืชสุมนไพร การปศุสัตว์ เช่นการเพาะพันธุ์สัตว์ป่า
การเลี้ยงชะมดกินกาแฟ นำมาทำผลิตภัณฑ์กาแฟขี้ชะมด การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เช่น เพาะเลี้ยง
ปลาสเตอร์เจียน เป็นต้น เพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับการดูแลและคุ้มครองสิ่งแวดล้อม และเสถียรภาพ
การผลิตภาคป่าไม้ในอนาคต
3) พัฒนาสัตว์ป่ามาเลี้ยงเสริมรายได้ป้องการสูญพันธุ์
ทรัพยากรจากฐานชีวภาพในประเทศไทยมีความหลากหลายมาก
แต่เกษตรกรไม่สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ รัฐควรส่งเสริมและพัฒนาสัตว์ป่ามาเลี้ยง
เพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจ จะทำให้เกิดการสร้างอาชีพ สร้างรายได้แล้ว ยังช่วยให้สัตว์ป่าในธรรมชาติไม่สูญพันธุ์
และการเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าในกรงเชิงพาณิชย์ ยังส่งผลดีต่อระบบนิเวศ เช่นกวาง นกปากขอ และไก่ฟ้า เป็นต้น
4) ส่งเสริมการปลูกไม้มีค่าทางเศรษฐกิจ
รัฐบาลมุ่งส่งเสริมและสนับสนุนการปลูกไม้มีค่า เพิ่มพื้นที่ป่า 26 ล้านไร่
สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ พัฒนาคุณภาพชีวิตตามแนวทางไทยนิยม ยั่งยืน เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ
ฐานราก ส่งเสริมให้ปลูกไม้มีค่าทางเศรษฐกิจในที่ดินกรรมสิทธิ์ หรือที่ดินที่ มีสิทธิ์ในการใช้ประโยชน์
โดยชอบด้วยกฎหมาย เป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น
โดยขณะนี้มีการบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน จะก่อให้เกิด
ชุมชนไม้มีค่าเพื่อเกษตรกร สำหรับไม้ทางเศรษฐกิจ มีทั้งหมด 58 ชนิด ประกอบด้วย ไม้สัก พะยูง
ชิงชัน กระซิก กระพี้เขาควาย สาธร แดง ประดู่ป่า ประดู่บ้าน มะค่าโมง มะค่าแต้ เคี่ยม เคี่ยมคะนอง