Page 50 - land use change
P. 50
40
(2) ปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคม เช่น จ านวนประชากร นโยบายการส่งเสริม
ของรัฐ ราคาผลผลิต และสภาวะตลาดภายในและนอกประเทศ เป็นต้น โดยมีรายละเอียดดังนี้
(2.1) จ านวนประชากร จากผลส ารวจ ส ามะโนครัวประชากรของ
ส านักงานสถิติแห่งชาติ พ.ศ. 2562 นั้นพบว่า มีการเพิ่มขึ้นของประชากร เป็น 66.56 ล้านคน ซึ่งจาก
เดิมเมื่อปี พ.ศ. 2543 ประเทศไทยมีประชากร 61.87 ล้านคน (ส านักงานสถิติแห่งชาติ, 2562) จึงท า
ให้เกิดความต้องการในการใช้ที่ดินเพิ่มขึ้น โดยมีการขยายพื้นที่เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยและท ากิน อีกทั้ง
การสร้างเส้นทางคมนาคมขนส่ง โรงงานอุตสาหกรรม รวมไปถึงการสร้างพื้นที่นันทนาการขนาดใหญ่
เช่น สนามกอล์ฟ โรงแรมที่พักตากอากาศในพื้นที่ที่เคยท าการเกษตร จึงท าให้พื้นที่เกษตรกรรมลดลง
โดยเฉพาะพื้นที่นาข้าวรอบเมือง เกิดความต้องการด้านสาธารณูปโภค เช่น การสร้างเขื่อน อ่างเก็บน้ า
เพื่อกักเก็บน้ าไว้ใช้และผลิตกระแสไฟฟ้าให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชนในประเทศ
โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคกลาง และภาคตะวันออก ซึ่งมีความหนาแน่นของประชากรต่อพื้นที่มากกว่า
ภาคอื่น ๆ การเพิ่มแหล่งผลิตอาหารให้เพียงพอต่อจ านวนประชากรที่เพิ่มขึ้น แต่พื้นที่ที่ใช้ใน
การเกษตรมีจ ากัด จึงเกิดการบุกรุกพื้นที่ป่าไม้เพื่อขยายพื้นที่เพาะปลูก โดยเฉพาะภาคเหนือและ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
(2.2) นโยบายการส่งเสริมของรัฐ ได้แก่ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
แห่งชาติถือเป็นแผนแม่บทในการวางแผนเพื่อการพัฒนาประเทศ จึงท าให้เกิดโครงการพัฒนาต่าง ๆ
ขึ้นมากมาย ซึ่งเป็นการช่วยเหลือและลดความเสี่ยงจากการผลิตให้กับเกษตรกร จึงเป็นแรงจูงใจให้
เกษตรกรตัดสินใจผลิตพืชที่อยู่ในโครงการรับประกันราคาหรือรับจ าน าเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ จากการตรวจเอกสารพบว่า ปัจจัยด้านกายภาพ ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ
ปัจจัยด้านสังคมและเกษตรกร ปัจจัยด้านเทคโนโลยี มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินที่มี
ความส าคัญมาก โดยมีค่าเฉลี่ยรวมเท่ากับ 4.09, 3.81, 3.67, 3.43 ตามล าดับ ส่วนปัจจัยด้านรัฐ
และเอกชน มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินระดับปานกลาง โดยมีค่าเฉลี่ยรวมเท่ากับ 2.97
(บัณฑิต, 2550) สอดคล้องกับเลิศฤทธิ์ (2557) พบว่า ปัจจัยด้านระยะห่างจากเส้นทางคมนาคม
และปัจจัยด้านอาชีพของราษฎรในหมู่บ้าน เป็นปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน
ในระดับสูง และศิริรัชช์ (2554) ยังพบว่า พื้นที่ที่มีความลาดชันน้อยจะถูกบุกมากกว่าพื้นที่ที่มี
ความลาดชันมาก เนื่องจากพื้นที่ที่มี ความลาดชันมากส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูง ส่วนพื้นที่ราบที่มีโอกาส
ถูกบุกรุกมากกว่านั้นส่วนใหญ่จะเป็นที่ตั้งของแหล่งชุมชน และใกล้แหล่งน้ า ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญได้ให้
ค่าคะแนนน้ าหนักเฉลี่ยกับปัจจัยด้านการคมนาคม (ถนน) มากที่สุด รองลงมา คือ แหล่งน้ า สิ่งปลูกสร้าง
และความลาดชัน จากการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินจากพื้นที่ป่าไม้เป็นพื้นที่เกษตรกรรม เป็นที่ดิน
ที่ใกล้แหล่งน้ าและชุมชน ซึ่งบริเวณดังกล่าวจะสามารถท าการเกษตรได้เป็นอย่างดี โดยจากผลการ
วิเคราะห์เชิงพื้นที่ของการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าไม้เป็นเกษตรกรรมพบว่า พื้นที่ป่าไม้ที่ใกล้ถนน
แหล่งน้ า สิ่งปลูกสร้าง และมีความลาดชันน้อยที่สุดเป็นพื้นที่เสี่ยงมากที่สุดซึ่งสอดคล้องกับการให้
ค่าน้ าหนักเฉลี่ยของผู้เชี่ยวชาญด้านป่าไม้ที่เห็นว่าถนน เป็นปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงการใช้
ที่ดินมากกว่าปัจจัยอื่น (สุนี, 2559)

