Page 66 - รายงานแผนการใช้ที่ดินน้ำแม่สรวย
P. 66
3-18
3) การประเมินอัตราการชะล้างพังทลายของดิน
การชะล้างพังทลายของดินเป็นปัญหาที่ส าคัญที่ส่งผลให้ทรัพยากรที่ดินเสื่อมโทรม
เพราะท าให้เกิดการสูญเสียหน้าดิน การสูญเสียธาตุอาหารและอินทรียวัตถุในดิน ส่งผลให้ความอุดมสมบูรณ์
ของดินลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีการใช้ที่ดินเพื่อท าการปลูกพืชหลายๆ ครั้งในรอบปี รวมทั้ง
ในพื้นที่ที่มีการใช้เครื่องจักรกลในการไถพรวนดินเป็นสาเหตุส าคัญที่ท าให้คุณสมบัติทางกายภาพของดิน
เสื่อมลง และส่งเสริมให้เกิดการชะล้างพังทลายของดิน ผลจากการชะล้างพังทลายของดินจะส่งผลกระทบ
ต่อสิ่งแวดล้อมทั้งในพื้นที่ที่เกิดการชะล้างพังทลายของดิน (On-site) และพื้นที่โดยรอบ (Off-site) โดย
จะท าให้ผลผลิตต่อหน่วยพื้นที่ลดลงเนื่องจากความอุดมสมบูรณ์ลดลง และเกิดการตื้นเขินของแม่น ้าล าคลอง
เนื่องจากมีการสะสมของตะกอนดิน ท าให้ศักยภาพในการเก็บกักน ้าของแหล่งน ้าต ่าลง ซึ่งปัญหาเหล่านี้
จะกระทบต่อการเพาะปลูกในฤดูกาลถัดไป ดังนั้นจึงมีความจ าเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการป้องกันการชะล้าง
พังทลายของดินเพื่อรักษาทรัพยากรที่ดินให้สามารถใช้ได้อย่างยั่งยืนต่อไป
การชะล้างพังทลายของดินในแต่ละพื้นที่จะมีระดับความรุนแรงแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่
กับแคุณลักษณะของดินเองและปัจจัยจากภายนอก โดยปกติแล้วการชะล้างพังทลายของดินใน
ประเทศไทยจะเกิดขึ้นโดยมีฝนเป็นปัจจัยหลักที่ส าคัญ แต่โดยธรรมชาติแล้วจะเกิดไม่รุนแรงบนพื้นที่ที่มี
ความลาดชันน้อยและมีสิ่งปกคลุมผิวดินหรือพื้นที่ที่มีความลาดชันสูง แต่มีสิ่งปกคลุมผิวดินหนาแน่นจน
เม็ดฝนไม่สามารถกระทบสู่พื้นดินได้ แต่จะเกิดรุนแรงมากขึ้นถ้าพื้นที่มีความลาดชันมากขึ้นและไม่มี
สิ่งปกคลุมผิวดินโดยมีกิจกรรมการใช้ที่ดินของมนุษย์เป็นตัวเร่งให้เกิดความรุนแรงมากขึ้น การชะ
ล้างพังทลายของดินนอกจากมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแล้วยังส่งผลเสียทางด้านเศรษฐกิจอีกด้วย
การประเมินอัตราการชะล้างพังทลายของดิน โดยใช้สมการการสูญเสียดินสากล
(Universal Soil Loss Equation : USLE) ของ Wischmeier & Smith (1978) มีรูปสมการดังนี้
A = R K L S C P
A = ค่าการสูญเสียดินต่อหน่วยของพื้นที่
R = ค่าที่รวมทั้งปัจจัยของน ้าฝนและการไหลบ่า (Rainfall and runoff erosivityfactor)
ซึ่งสามารถอธิบายได้จากค่าความสัมพันธ์ของพลังงานจลน์ของเม็ดฝนที่ตกกระทบผิวหน้าดินกับปริมาณ
ความหนาแน่นของฝนในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งการศึกษาในครั้งนี้ได้น าค่าสหสัมพันธ์ระหว่างค่าปัจจัย
การกัดกร่อนของฝน ตามวิธีการศึกษาของ Wischmeier (กรมพัฒนาที่ดิน, 2545) ที่มนูญและคณะ (2527)
ได้ศึกษาไว้มาวิเคราะห์ร่วมกับข้อมูลปริมาณน ้าฝนเฉลี่ยรายปี (Average annual rainfall) โดยใช้ค่าปริมาณ
น ้าฝนเฉลี่ยรายปีในช่วง 30 ปี (พ.ศ. 2531-2560) จากกรมอุตุนิยมวิทยา (2560) และมาค านวณหาค่า
ปัจจัยตามสมการ ดังนี้
R = 0.4996*(ค่าปริมาณฝนเฉลี่ยรายปี) -12.1415 (เมตริกตันต่อเฮกแตร์ต่อปี)