Page 45 - แผนการใช้ที่ดินจังหวัดสกลนคร

3-11

เขตป่าอนุรักษ์
พื้นที่จังหวัดอยู่ในเขตอุทยำนแห่งชำติ เนื้อที่รวมประมำณ 676,098 ไร่ หรือร้อยละ 11.26
ของเนื้อที่จังหวัด รำยละเอียดแสดงในตำรำงที่ 3-3 และรูปที่ 3-1 โดยสำมำรถจ ำแนกตำมเขตอุทยำนได้
ดังนี้

1) อุทยานแห่งชาติภูพาน ซึ่งประกำศเป็นเขตอุทยำนแห่งชำติในรำชกิจจำนุเบกษำ เล่ม89
ตอนที่ 170 วันที่ 13 พฤศจิกำยน 2515 มีเนื้อที่ตำมประกำศประมำณ 415,439 ไร่ อุทยำนแห่งนี้มีพื้นที่
อยู่ในพื้นที่จังหวัดสกลนคร เนื้อที่ 403,745 ไร่ หรือร้อยละ 6.72 ของเนื้อที่จังหวัด
2) อุทยานแห่งชาติภูผายล (ห้วยหวด) ซึ่งประกำศเป็นเขตอุทยำนแห่งชำติในรำชกิจ
จำนุเบกษำ เล่ม 105 ตอนที่ 122 วันที่ 28 กรกฎำคม 2531 มีเนื้อที่ตำมประกำศประมำณ 517,850 ไร่

อุทยำนแห่งนี้มีพื้นที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดสกลนคร เนื้อที่ 130,330 ไร่ หรือร้อยละ 2.17 ของเนื้อที่จังหวัด
3) อุทยานแห่งชาติภูผาเหล็ก ซึ่งประกำศเป็นเขตอุทยำนแห่งชำติในรำชกิจจำนุเบกษำ
เล่ม 126 ตอนที่ 96 ก วันที่ 23 ธันวำคม 2552 มีเนื้อที่ตำมประกำศประมำณ 252,737 ไร่ อุทยำนแห่งนี้มี

พื้นที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดสกลนคร เนื้อที่ 142,023 ไร่ หรือร้อยละ 2.37 ของเนื้อที่จังหวัด

ตารางที่ 3-3 พื้นที่เขตป่าอนุรักษ์ในพื้นที่จังหวัดสกลนคร

เนื้อที่
เขตพื้นที่ป่าอนุรักษ์
ไร่ ร้อยละ

1. อุทยานแห่งชาติ 676,098 11.26

- อุทยานแห่งชาติ ภูพาน 403,745 6.72
- อุทยานแห่งชาติ ภูผายล (ห้วยหวด) 130,330 2.17

- อุทยานแห่งชาติ ภูผาเหล็ก 142,023 2.37

2. นอกเขตพื้นที่ป่าอนุรักษ์ 5,327,504 88.74
รวมเนื้อที่ 6,003,602 100.00

ที่มา : กรมอุทยำนแห่งชำติ สัตว์ป่ำ และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยำกรธรรมชำติและสิ่งแวดล้อม (2560)

พื้นที่เขตป่าสงวนแห่งชาติ
กำรจ ำแนกเขตกำรใช้ประโยชน์ทรัพยำกรและที่ดินป่ำไม้ในเขตป่ำสงวนแห่งชำติตำม
มติคณ ะรัฐมนตรี วันที่ 10 และ 17 มีนำคม 2535 ได้ให้ควำมเห็นชอบตำมมติของ
คณะกรรมกำรนโยบำยป่ำไม้แห่งชำติ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่องกำรจ ำแนกเขตกำรใช้

ประโยชน์ทรัพยำกรและที่ดินป่ำไม้ในเขตป่ำสงวนแห่งชำติ ซึ่งได้จ ำแนกเขตป่ำสงวนแห่งชำติ ออกเป็น
3 เขต ดังนี้ เขตพื้นที่ป่ำเพื่อกำรอนุรักษ์ (โซน C) เขตพื้นที่ป่ำเพื่อเศรษฐกิจ (โซน E) และเขตพื้นที่ป่ำที่
เหมำะสมต่อกำรเกษตร (โซน A) เมื่อจ ำแนกป่ำตำมเขตป่ำสงวนแห่งชำติ พบว่ำพื้นที่จังหวัดสกลนครอยู่
ในเขตป่ำสงวนแห่งชำติหลำยป่ำ รำยละเอียดแสดงในตำรำงที่ 3-4 และรูปที่ 3-2 และสำมำรถจ ำแนก