Page 96 - Lower Songkhram River Basin

3-18

2) ปศุสัตว บริเวณพื้นที่ชุมน้ำแมน้ำสงครามตอนลาง พบวา ครัวเรือนสวนใหญจะเลี้ยงสัตว

ไวเพื่อการบริโภคและจำหนาย สัตวที่นิยมเลี้ยง ไดแก เปด ไก กระบือ โค และสุกร โดยมีการเลี้ยงเปด
และไกมากที่สุด จำนวน 1,957 ครัวเรือน อำเภอที่มีการเลี้ยงเปดและไกมากที่สุด คือ อำเภอศรีสงคราม
961 ครัวเรือน รองลงมา อำเภอทาอุเทน และอำเภออากาศอำนวย จำนวน 766 และ 150 ครัวเรือน

ตามลำดับ นอกจากนี้ยังมีการเลี้ยงสัตวประเภทอื่น ๆ เชน กระบือ 1,127 ครัวเรือน โคเนื้อ 783
ครัวเรือน สุกร 191 ครัวเรือน และโคนม 100 ครัวเรือน ตามลำดับ (ตารางที่ 3-12)
3) ประมงและเพาะเลี้ยงสัตวน้ำ บริเวณพื้นที่ชุมน้ำสงครามตอนลางมีลักษณะพิเศษ คือ
ฤดูฝนน้ำจะคอย ๆ ทวมพื้นที่ลุมต่ำ และเมื่อถึงฤดูน้ำหลากจะกลายสภาพเปนผืนทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ

ครอบคลุมระยะเวลานานประมาณ 3-4 เดือน น้ำหลากนี้เปนอิทธิพลมาจากน้ำเหนือและน้ำจากลำน้ำโขง
ที่ไหลยอนเขามาตามลำน้ำสงครามและลำน้ำยอย ทำใหเปนแหลงที่อยูอาศัย แหลงอาหาร แหลงผสมพันธุ
และทำรังวางไขของสัตวน้ำที่สำคัญโดยเฉพาะอยางยิ่งปลาหลายชนิดจากแมน้ำโขง อพยพมาผสมพันธุ
และวางไข พรอมทั้งเปนแหลงอนุบาลลูกปลา กอนจะออกไปเจริญเติบโตในแมน้ำโขง เปนอาหารและ

รายไดสำคัญใหแกประชากร จากลักษณะดังกลาว พบวา บริเวณพื้นที่ชุมน้ำแมน้ำสงครามตอนลาง
มีครัวเรือนทำประมงน้ำจืด 1,251 ครัวเรือน และครัวเรือนเพาะเลี้ยงสัตวน้ำ 576 ครัวเรือน (ตารางที่ 3-13)
4) วิสาหกิจชุมชน จากขอมูลวิสาหกิจชุมชน (ขอมูล ณ เดือนธันวาคม 2564) พบวา
บริเวณพื้นที่ชุมน้ำแมน้ำสงครามตอนลาง มีทั้งหมด 279 กลุม ซึ่งมีวิสาหกิจชุมชนกลุมเพาะปลูกมากที่สุด

จำนวน 85 กลุม เชน วิสาหกิจชุมชนกลุมปลูกพืชสมุนไพรบานหาดแพง วิสาหกิจชุมชนผูปลูกยางพารา
ตำบลหนองเทา และวิสาหกิจชุมชนกลุมทำนาป-นาปรัง บานดอนแดง ม.3 เปนตน รองลงมา วิสาหกิจชุมชน
กลุมเลี้ยงสัตว จำนวน 67 กลุม เชนวิสาหกิจชุมชนกลุมผูเลี้ยงโคเนื้อบานขา วิสาหกิจชุมชนกลุมผูเลี้ยง
กระบือตำบลดอนเตย และวิสาหกิจชุมชนผูเลี้ยงไกพื้นเมืองอำเภอศรีสงคราม เปนตน และวิสาหกิจชุมชน

กลุมและผลิตภัณฑผาทอ เสื้อผา และของที่ระลึก จำนวน 58 กลุม เชน วิสาหกิจชุมชนกลุมทอผา
บานดอนพะธาย วิสาหกิจชุมชนกลุมทอเสื่อลายขิตหมูมนพัฒนา และวิสาหกิจชุมชนจักรสานไมไผ
พะทาย เปนตน (ตารางที่ 3-14)